ธปท.ชี้มูลค่าส่งออกไทยเสี่ยงติดลบ หลังประเมินผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวมีมากขึ้น กระทบราคาสินค้าโภคภัณฑ์- กลุ่มพลังงาน ด้านสศช.ยังรอสถานการณ์ คงเป้าไว้ที่ 3% ขณะนักเศรษฐศาสตร์ทีดีอาร์ไอ ชี้เป็นไปได้ส่งออกไม่โต
แนวโน้มและทิศทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2559 ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก จะเห็นได้จากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ของจีนสร้างความผันผวนต่อตลาดเงิน-ทุนของโลก รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทิศทางของเศรษฐกิจจีนยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากจีนขยับเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย แซงหน้าสหรัฐและญี่ปุ่น โดยสัดส่วนส่งออกของไทยไปยังจีนคิดเป็นกว่า 11% ของการส่งออกทั้งหมด ดังนั้นความเป็นไปของเศรษฐกิจจีนย่อมส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ถือเป็นหน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่มีการประเมินส่งออกในปีนี้จะไม่เติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้า 5% เช่นเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตั้งเป้าไว้ที่ 3%
แต่จากทิศทางเศรษฐกิจของจีนตั้งแต่ต้นปี ทำให้ธปท.เริ่มกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง โดยคาดว่าอาจส่งผลกระทบมากขึ้นจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน และอาจเป็นไปได้ว่าในปีนี้ส่งออกของไทยจะติดลบอีกครั้ง
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า จีนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราประเมินว่า การส่งออกในปี 2559 จะไม่เติบโตเลย เพราะเศรษฐกิจจีนมีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทยมาก โดยปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกไปจีนสูงราว 11.1% และนอกจากผลทางตรงนี้แล้ว ยังมีผล ทางอ้อมจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ ที่เขาส่งออกไปจีนด้วย
"เดิมเราประมาณการปี 2559 ไว้สูงกว่านี้ แล้วเราค่อยๆ ขยับลง เป็นการขยับลงพร้อมกับมุมมองของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจีนมีผลกระทบที่กว้างกับเรา เพราะเขาเป็นคู่ค้าหลักของเรา ผลกระทบจึงส่งผ่านในหลายอุตสาหกรรม"
อย่างไรก็ตามมุมมองของ ธปท. ที่มีต่อเศรษฐกิจจีนนั้น ยังมองว่าจีนจะไม่เผชิญกับภาวะฮาร์ดแลนดิ้ง เพียงแต่อานิสงส์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ส่งผ่านมายังไทยจะมีน้อยลง สาเหตุเพราะระยะหลัง การเติบโตของเศรษฐกิจจีนมาจากภาคบริการเป็นหลัก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเราค่อนข้างมากเริ่มชะลอตัวลง ทำให้การส่งออกของเราไปจีนน้อยลงตามไปด้วย
ธปท.ประเมินเศรษฐกิจจีนเติบโตปีนี้ที่ 6.5% หยวนอ่อนกระทบไทย4มิติ ส่วนความกังวลเรื่องการอ่อนค่าของเงินหยวนในขณะที่เงินบาทไม่อ่อนค่าตามนั้น กรณีนี้ต้องแบ่งเป็น 4 มิติ กล่าวคือ มิติแรก สินค้าที่เราแข่งขันด้วยไม่ว่าจะแข่งขันในจีน หรือแข่งกันในประเทศอื่น กลุ่มนี้ได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะไม่สามารถสู้ราคาสินค้าจากจีนที่ถูกกว่าได้
มิติที่สอง คือ สินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน เช่น เราส่งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไปยังจีนเพื่อผลิตเป็นอุปกรณ์แล้วขายต่อ กรณีนี้ ผลกระทบไม่มาก และน่าจะได้ประโยชน์ในกรณีที่จีนสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น
ส่วนมิติที่สาม คือ สินค้าที่เรานำเข้าจากจีน จะมีราคาถูกลง ผู้นำเข้าจึงได้ประโยชน์ และมิติสุดท้าย คือ ถ้าสินค้าที่นำเข้าถูกลงมาก ก็อาจถูกนำมาใช้ทดแทนกับสินค้าที่ผลิตในประเทศ กรณีนี้กลายเป็นผลเสียได้
"การอ่อนค่าของเงินหยวนมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ จึงตอบไม่ง่ายว่าสุทธิแล้วเราได้หรือเสียประโยชน์ บางอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์ แต่บางอุตสาหกรรม เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ตรงนี้อาจเสียประโยชน์ได้เช่นกัน"
อย่างไรก็ตามแม้ ธปท. จะประเมินการส่งออก ไทยในปีนี้ไม่เติบโตเลย แต่เป็นการประเมินในเชิงของมูลค่า ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับตัว ลง ทั้งราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ถ้ามองในเชิงของปริมาณการส่งออกแล้ว ธปท.เชื่อว่าปีนี้จะขยายตัวได้เล็กน้อย "จริงๆ ตัวเลข 0% เป็นผลจากราคาที่ลดลง แต่ในเชิงของปริมาณ เชื่อเติบโตได้แบบอ่อนๆ"
ส่งออกปีนี้เสี่ยงติดลบ
ตัวเลข 0% ของ ธปท. เป็นการประเมินในช่วงเดือนธ.ค.2558 ซึ่งขณะนั้นเริ่มเห็นราคาที่ปรับตัวลงบ้าง แต่ล่าสุด พบว่า ราคาสินค้าเหล่านี้ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ การส่งออกไทยในปีนี้มีความเสี่ยงที่จะติดลบ
แม้การส่งออกจะติดลบจริง แต่ผลต่อ จีดีพี คงไม่มาก เพราะเป็นการติดลบในรูปของมูลค่า ขณะที่ ปริมาณ ซึ่งใช้เป็นตัวคำนวณจีดีพี ยังขยายตัวได้อ่อนๆ ดังนั้นโดยภาพรวมของการส่งออกไทยในปีนี้ จึงเป็นตัวสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ เพียงแต่ไม่มากนัก
"เรากำลังพูดถึงมูลค่า ซึ่งมูลค่ามีทั้งปริมาณและราคา ดังนั้นถ้าปริมาณขยายตัวได้ ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย เพียงแต่มีผลในเรื่องของราคาซึ่งทำให้การส่งออกเราดูไม่ดีนัก แต่ราคาที่ลดลงนี้ก็ทำให้การนำเข้าของเราลดลงด้วย จึงต้องดูในส่วนของ ดุลบัญชีเดินสะพัดประกอบกัน เพราะถ้าดูแต่ตัวเลข ส่งออกที่หดตัวอย่างเดียวอาจจะง่ายไปนิด"
หมดยุคการค้าโลกเฟื่องฟู
ส่วนการตั้งความหวังว่า หากกำจัดปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ได้ จะทำให้การส่งออกไทยกลับมาเติบโตได้ 2 หลักในอนาคตนั้น นางรุ่ง มองว่า เป็นเป้าที่อาจดูเหนือธรรมชาติ สาเหตุเพราะยุคการค้าโลกที่เฟื่องฟูผ่านไปแล้ว และอนาคตเราอาจไม่ได้เห็นการค้าโลกที่เติบโตเร็วเทียบเท่ากับจีดีพี
"มันพ้นสมัยที่การค้าจะโตเร็วแล้ว ดังนั้นยุคเฟื่องฟูของการค้าโลกคงน้อยลง ประเทศที่พึ่งพาปัจจัยภายนอกก็คงทำได้น้อยลงด้วย แม้กระทั่งจีนเองเขาก็เริ่มปรับตัว จากที่เคยผลิตสินค้าส่งออก เดี๋ยวนี้ก็หันมาเน้นภาคบริการในประเทศมากขึ้น"
สศช.คงเป้าส่งออกไว้ที่3%
ด้านนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2559 จีดีพีจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ประมาณ 6.7-6.9% เนื่องจากจีนอยู่ในช่วงการปรับสมดุลและแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการส่งออกของไทยไปยังจีนและประเทศคู่ค้าของจีนเช่นในกลุ่มประเทศอาเซียนบางประเทศที่ส่งสินค้าไปขายยังจีน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะมี ผลต่อภาคการส่งออกของไทยจนทำให้การ ส่งออกในปี 2559 เติบโตที่ 0% หรือไม่ขยายตัว โดยขอดูตัวเลขการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ก่อนจึงจะประเมินผลกระทบได้ชัดเจน
"ตัวเลขจีดีพี 6.9% ที่ออกมาตรงกับที่เราคาดการณ์ไว้ ตอนนี้ยังไม่มีสถานการณ์อะไรที่รุนแรง เรื่องส่งออกต้องรอดูตัวเลขไตรมาสนี้ก่อน ขณะนี้ยังคาดการณ์ไว้ที่เดิม จะขยายตัว 3%" นายปรเมธี กล่าว
ทีดีอาร์ไอชี้มีโอกาสโต0%
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะชะลอการเติบโตลงเรื่อยๆแต่จะไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรง (ฮาร์ดแลนดิ้ง) แต่จะเป็นลักษณะที่เศรษฐกิจซึมตัว มีการชะลอตัวทั้งภาคการลงทุน การบริโภคจากปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีน
นอกจากนี้ ทางการจีนยังพยายามประคองเศรษฐกิจโดยแทรกแซงกลไกการตลาดมากจนเกินไปทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้มองว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนจะมีผลต่อภาคการส่งออกของไทยพอสมควรและมีความเป็นไปได้ที่ในปี 2559 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่การส่งออกของไทยไม่ขยายตัวหรือเติบโตได้ 0%
หวั่นกระทบท่องเที่ยวจีน
ด้านนายสมชัย จิตสุชนผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ทีดีอาร์ไอกล่าวว่าต้องจับตาดูผลกระทบของเศรษฐกิจจีนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่ใช่เฉพาะภาคของการส่งออกเท่านั้นแต่รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ด้วยเนื่องจากปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนทำสถิติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยถึงเกือบ 8 ล้านคน ทำให้รายได้ส่วนหนึ่งการท่องเที่ยวไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีน
นายสมชัย กล่าวว่าในปี 2559 อาจจะยังไม่เห็นปัญหาของเศรษฐกิจที่ทำให้นักท่องเที่ยว จีนชะลอการมาเที่ยวในไทย เนื่องจากประชากรจีนมีจำนวนมาก หากบางส่วนยังเดินทางมาเที่ยวประไทยในสัดส่วนเท่าเดิมก็จะยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจน
"แต่เป็นโจทย์หนึ่งที่รัฐบาลต้องคิดว่าในอนาคตจะต้องสร้างความสมดุลของรายได้จากนักท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายไม่ควรพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป"
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ (Jan 26)